skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
“มงคล ลีลาธรรม”  มองวิกฤตพลังงานสร้างโอกาส  มั่นใจ“สัมมาชีพมาถูกทาง”

“มงคล ลีลาธรรม” มองวิกฤตพลังงานสร้างโอกาส มั่นใจ“สัมมาชีพมาถูกทาง”

“มงคล ลีลาธรรม”

มองวิกฤตพลังงานสร้างโอกาส

มั่นใจ“สัมมาชีพมาถูกทาง”

กลางสมรภูมิสงครามรัสเซียรบพุ่งยูเครนดุเดือดกว่า 20 วัน ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ยังขยายแสนยานุภาพทหารเข้าเผด็จศึกยึดครองยูเครนไม่ได้ จนก่อเกิดวิกฤตพลังงานลามจากยุโรปไปกระทบประเทศค่อนโลก สำหรับไทยแล้ว สารพัดปัญหาสะสมก่อนเกิดสงครามและแก้ไม่สะเด็ดน้ำ ถูกปัดให้เป็นผลพวงจากสงคราม ราวกับต้องการเอาตัวรอดฉิวเฉียดไปชั่วขณะ

 

ผลพวงหนึ่งซึ่งสำคัญคือ พลังงานทั้งน้ำมัน ก๊าซ แก๊ส ไฟฟ้าจ่อขยับขึ้น พร้อมกับลากราคาสินค้าอุปโภคแพงเป็นเงาตามตัว ในสถานการณ์เช่นนี้ “มงคล ลีลาธรรม” ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิสัมมาชีพ มีความเห็นน่าสนใจว่า “เป็นภาวะหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือหนีไม่พ้น จึงจำต้องยอมรับวิกฤต” ซึ่งก่อความเดือดร้อนทั่วหัวระแหง

 

“มงคล ลีลาธรรม” เสนอความเห็นน่าสนใจยิ่ง โดยกระทุ้งรัฐบาลรีบงัดมาตรการ “แจกจ่ายบัตรช่วยเหลือหรืออุดหนุน” ประชาชนกลุ่มเปราะบางกว่า 20 ล้านคน เพื่อผ่อนคลายภาระรายจ่ายที่หนักหน่วงให้เบาลงจากวิกฤตก่อผลกระทบพลังงานขยับราคา

 

ขณะเดียวกัน ด้วยประสบการณ์คลุกคลีกับเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่นกว่า 20 ปี “มงคล ลีลาธรรม” เชื่อมั่นว่า ในทุกวิกฤตที่ถาโถมสู่ไทย โดยเฉพาะวิกฤตโควิดเป็นตัวอย่างการปรับตัวอยู่ได้ของชุมชนท้องถิ่น ไม่ต้องลำบากเดือดร้อนหนักหนาสาหัสเหมือนระบบเศรษฐกิจเมืองต้องล้มพังพาบอย่างอเนจอนาถ ทั้งนี้ ประหนึ่งวิกฤตเป็นโอกาสของวิถีการผลิตท้องถิ่นที่มีรากฐานวัฒนธรรม ประเพณีในชุมชนเป็น “ต้นทุน” คอยหนุนเกื้อค้ำยันไว้

 

เมื่อแนวทางสัมมาชีพ คือวิถีการดำรงอยู่ของชุมชนท้องถิ่น คือวิถีแห่งสันติ เพราะไม่เอาเปรียบเบียดเบียน รุกล้ำ รุกรานต่อตนเอง ผู้อื่น และสิ่งแวดล้อม เหนืออื่นใดแล้ว ยังปรับตัวมีชีวิตอยู่ได้ในท่ามกลางทุกวิกฤตรุมโหมเข้าใส่ แต่ “วิกฤตกลับเป็นโอกาส”ของชุมชนท้องถิ่น ยิ่งถ้าได้เทคโนโลยีมาเพิ่มเติมเพื่อแปรรูปการผลิตแล้ว เศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่นยิ่งเติบโต ขยายตัวมากขึ้น “มงคล ลีลาธรรม” เชื่อเช่นนี้ ถึงกับประกาศด้วยความมั่นใจว่า “เรา (สัมมาชีพ) มาถูกทางแล้ว”

 

แต่ในทางที่ถูกนั้น รัฐบาลควรสนับสนุน เปิดโอกาสท้องถิ่นเข้าถึงทุนได้เสรี นี่เป็นเนื้อหาพอประมาณตามความเห็นน่าสนใจของ “มงคล ลีลาธรรม”

 

หนีไม่พ้น จำยอมรับค่าไฟขยับแพง 4 บ.ต่อหน่วย

สถานการณ์พลังงานไทยเข้าขั้นวิกฤตจากสงครามรัสเซียรบยูเครนนั้น เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ไฟฟ้าปรับขึ้นค่า FT ทำให้ค่าฟ้าส่อเพิ่มขึ้นเป็น 4 บาทต่อหน่วย แต่เราต้องยอมรับกับมัน อีกทั้งเชื่อว่าวิกฤตพลังงานจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก ถึงอย่างไรเราคงไม่ถึงกับขาดแคลนเหมือนต่างประเทศที่หลีกหนีไม่พ้นกับการขาดแคลนพลังงาน

 

ในส่วนรัฐบาลแล้ว ต้องหามาตรการมาช่วยผู้มีรายได้น้อยซึ่งเป็นกลุ่มคนเปราะบาง รวมทั้งกลุ่มผู้มีรายได้ประจำ คนกลุ่มนี้มีประมาณ 20 ล้านคน ล้วนได้ผลกระทบจากราคาสินค้าขยับแพงขึ้น สถานการณ์เช่นนี้ย่อมหนีไม่พ้นอีกเช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องยอมรับมัน

 

สิ่งสำคัญคือ การแก้ปัญหาพลังงานของรัฐบาล จะนำนโยบายด้านการเงินมาใช้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ปัญหาเงินเฟ้อที่ต้องแก้ด้วยการขึ้นดอกเบี้ย แต่วิกฤตพลังงานต้องแก้ปัญหาด้วยการช่วยเหลือให้เงินอุดหนุนในการใช้จ่ายของประชาชน

 

มาตรการให้เงินอุดหนุนด้านพลังงาน 4 หมื่นล้านบาทที่ผ่านมาช่วยได้เพียงบางกลุ่ม บางอาชีพธุรกิจเท่านั้น ซึ่งไม่ถึงประชาชนผู้มีรายได้เปราะบาง ดังนั้นวิกฤตพลังงานครั้งนี้ รัฐบาลควรเน้นไปที่การช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายของประชาชนเป็นด้านหลัก

“รัฐบาลควรออกบัตรจ่ายแจกเสริมเป็นสวัสดิการให้ประชาชนได้ซื้อสินค้าในราคาถูกลง กลุ่มเกษตรกรได้ใช้พลังงานเพื่อการเพาะปลูกในราคาถูก อีกทั้งช่วยแบ่งเบาภาระมอเตอร์ไซด์รับจ้างได้เติมน้ำมันไม่แพง ผู้มีรายได้ต่ำก็ไม่เดือดร้อนหนักหนาเกินไป”

 

 

 

แนวทางสัมมาชีพ“เรามาถูกทางแล้ว”

 มูลนิธิสัมมาชีพไปเยี่ยมชมวิสาหกิจท่องเที่ยวชุมชนบ้านแหลม (เมื่อ 17 มี.ค.) นั้น เราได้รับรู้ถึงข้อเสนอที่ดีของชุมชนที่จะให้เรือนำเที่ยวปรับไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานโซล่าเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากพลังงานขยับแพงขึ้น ดังนั้น มาตรการดีเช่นนี้รัฐบาลควรเข้ามาให้การสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ข้อเสนอที่เป็นประโยชน์นี้ ยังมีความเห็นขยายไปถึงการขายพลังงานแสงอาทิตย์ให้ชุมชนการเกษตรอีกด้วย โดยใช้เรือล่องลำไปบริการถึงบ้านตามริมฝั่งแม่น้ำที่สูบน้ำทำการเกษตร แนวทางนี้สะท้อนถึงชุมชนมุ่งสู่มาตรการพึ่งพาตัวเองในด้านพลังงานไฟฟ้า อีกทั้งลดพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล (น้ำมัน) ให้มากขึ้น ส่งผลให้ใช้พลังงานไฟฟ้าจากฟอสซิสน้อยลงตามไปด้วย

 

ท่ามกลางสงครามในขณะนี้ (รัสเซียรบยูเครน) ก่อผลกระทบต่อยุโรปถึงขั้นอาจขาดแคลนพลังงาน และทำให้ข้าวสาลีแพงเพราะต้องปรับราคาครั้งใหม่ ในสถานการณ์เช่นนี้แนวทางรัฐบาลควรส่งเสริมเปิดเสรีการแปรรูปครั้งใหญ่ สิ่งสำคัญกลุ่มวิสาหกิจชุมชน หรือวิถีการผลิตเศรษฐกิจรากฐานต้องได้รับโอกาสเข้าถึงต้นทุนการผลิตที่ต่ำได้สะดวกและง่ายขึ้น

 

มาตรการเปิดเสรีการแปรรูปนั้น เมื่อรัฐบาลมาหนุนย่อมเกิดผลดีต่อชุมชนและทำให้ระบบเศรษฐกิจประเทศเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล นอกจากนี้ยังได้ประสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ พร้อมให้บริการการสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ โดยสิ่งสำคัญท่ามกลางสงครามแม้ก่อวิกฤตขึ้น แต่เป็นโอกาสให้ชุมชนอย่างสำคัญ

 

“ในวิกฤตพลังงานจะส่อถึงโอกาสเกิดการเชื่อมประสานชุมชน สังคม รัฐ จนเกิดแนวทางสัมมาชีพเต็มพื้นที่ สังคมจึงมีสันติสุขขึ้นได้ หากลองศึกษาประสบการณ์ชุมชนที่เป็นตัวอย่างความสำเร็จ โดยเฉพาะ 5 ชุมชนวิสาหกิจชุมชนที่เราคัดเลือกเป็นสัมมาชีพต้นแบบแล้ว ย่อมรับรู้ถึงความสำเร็จได้ดีในท่ามกลางวิกฤตโควิดรุมล้อม ซึ่งบ่งบอกถึงทุกวิกฤต ชุมชนสามารถปรับตัวและรับมือได้ ด้วยเหตุนี้ วิกฤตจึงเปิดโอกาสให้ชุมชนได้เดินตามแนวทางสัมมาชีพ ดังนั้นเรามาถูกทางแล้ว”

 

 

LFC ในห้วงยามวิกฤตรุกล้อม

 

 

การอบรมหลักสูตร LFC (หลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง) ในรุ่น LFC-12 จะเน้นเนื้อหาสถานการณ์พลังงานวิกฤต เพราะเชื่อมั่นว่าในวิกฤตนี้จะสร้างแนวทางสัมมาชีพเต็มพื้นที่ได้ และเกิดเทคโนโลยีใหม่ ประกอบกับวิสาหกิจชุมชนหลายแห่งมุ่งไปสู่โมเดล BCG ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางสัมมาชีพ และยิ่งทำให้วิถีการผลิตชุมชนเติบโตขึ้นอย่างมากในอนาคต

 

แนวทาง BCG เป็นโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดย B คือ Bioeconomy เป็นเศรษฐกิจชีวภาพ มุ่งผลิตสินค้าเกษตรและอาหารลดสารเคมีที่อันตรายต่อสุขภาพ ส่วน C คือ Circular economy มุ่งลดการสูญเสียในการผลิต ลดความเสี่ยงต่างๆ ยืดอายุและรักษาสภาวะแวดล้อมตามธรรมชาติ ถัดมา G คือ Green economy เป็นมาตรการผลิตเศรษฐกิจสีเขียว ให้เกิดความยั่งยืนของทรัพยากรที่สอดคล้องกับสังคม วัฒนธรรม ความเหลื่อมลํ้า ความเท่าเทียม สิ่งเหล่านี้เป็นแกนกลางของวัฒนธรรมการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเนื้อหาไม่แตกต่างจากสัมมาชีพจึงสอดคล้องกันอย่างยิ่ง และรัฐบาลควรเร่งสนับสนุนอย่างจริงจัง

 

“ผู้นำหรือหัวขบวนการเปลี่ยนแปลง เมื่อนำการปรับตัวกับชุมชนท้องถิ่นล้วนก่อเกิดเติบโตท่ามกลางมีวิกฤต เราจึงมั่นใจมาก เพราะเรามาถูกทางแล้ว โดยคนที่มาอบรมในหลักสูตรนี้จะได้เครือข่ายสังคมพร้อมเกิดโอกาสความร่วมเป็นอย่างดียิ่ง”

 

การอบรมหลักสูตร  LFC จะมีปีละรุ่น แต่ในปี 2565 จะมี 2 รุ่น คือ รุ่น 12 อบรมก่อน และรุ่น 13 เริ่มอบรมเดือนพฤศจิกายน ดังนั้น หลักสูตร LFC จึงเป็นที่ต้องการของชุมชนอย่างยิ่ง เป็นหลักสูตรที่เชื่อมโยงประสานสัมพันธ์ชุมชน สังคม รัฐ ร่วมเดินไปบนแนวทางสัมมาชีพที่เรามั่นใจว่า มาถูกทางแล้ว


ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:

 

 

https://www.facebook.com/sammachiv

https://www.facebook.com/chumchonmeedee

https://www.youtube.com/user/RightLivelihoods

Back To Top