ฉีดวัคซีนชักช้า เสี่ยงติดโอมิครอนถึงตาย!
ฉีดวัคซีนชักช้า
เสี่ยงติดโอมิครอนถึงตาย!
เชื้อโอมิครอนระบาดหนักขึ้นต่อเนื่อง ขณะนี้ยอดผู้ติดเชื้อรายวันขยับเกือบแตะ 30,000 คน พุ่งมากจนน่าตกใจ ข้อมูล 5 วันตั้งแต่ 14-18 ก.พ.มียอดรวมมากถึง 100,961 คน เฉลี่ยวันละ 20,192 คน โดยเฉพาะวันที่ 18 ก.พ. มีผู้ติดเชื้อมากถึง 28,022 คน ซึ่งรวมทั้งผลตรวจจาก ATK เป็นบวกสะท้อนถึงเข้าข่ายติดเชื้ออีกจำนวน 9,956 คนด้วย
นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เตือนว่า อย่าตกใจ เพราะคนติดเชื้อยังพุ่งต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนถึงต้นมีนาคมจากนั้นจะเป็นขาลง พร้อมย้ำถึงแนวโน้มว่า ทุกคนต้องติดในไม่ช้า ดังนั้น การบรรเทาอาการคือ รีบฉีดวัคซีนให้ครบ
การฉีดวัคซีนให้ครบในความหมายของ นพ.มนูญ คือ การฉีดเข็มสามเพื่อกระตุ้นภูมิต้านทานเชื้อโอมิครอน แม้ตัวเลขฉีดวัคซีนเมื่อ 17 ก.พ. ยอดรวมฉีดวัคซีนทั้งประเทศมีจำนวนเกือบ 121 ล้านโดส แต่ในจำนวนนี้ฉีดเข็มสองเพียง 49 ล้านโดส และเข็มสามในจำนวนน้อยนิดแค่ 18 ล้านโดส แปลความว่า อีกกว่า 30 ล้านคนที่ฉีดเข็มสองยังไม่ได้ไปฉีดเข็มสาม ดังนั้น จำนวนคนฉีดวัคซีนไม่ครบจึงมีชีวิตอยู่ในสภาพรอติดโอมิครอนได้ทุกเมื่อเชื่อวัน
ถ้ายึดในระดับการคุ้มกันเชื้อโอมิครอนแล้ว ควรใส่ใจกับตัวเลขฉีดวัคซีนเข็มสองและเข็มสาม ซึ่งมีประสิทธิภาพยับยั้งการติดเชื้อโอมิครอนได้มากกว่าฉีดเข็มหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ท่ามกลางโอมิครอนระบาดรวดเร็ว โอกาสเสี่ยงติดเชื้อจึงมีสูงกับคนฉีดวัคซีนเข็มสอง แล้วนับประสาอะไรกับคนฉีดแค่เข็มหนึ่ง รวมทั้งคนไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย ความกังวลต่อการลุกลามย่อมน่าหวั่นสะท้านเป็นระลอกระบาดครั้งแล้วครั้งเล่า และหากปล่อยปละละเลยย่อมเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
5 วันติดเชื้อโอมิครอน |
|||||||
ปี 2565 |
ติดเชื้อ |
รักษา | เสียชีวิต | ||||
RT-PCR | ATK | รวม | รพ. | อาการหนัก | เครื่องช่วยหายใจ |
|
|
14 ก.พ. | 14,900 | 7,687 | 22,587 | 129,933 | 687 | 138 | 26 |
15 ก.พ. | 14,373 | 7,701 | 22,074 | 132,728 | 702 | 145 | 27 |
16 ก.พ. | 16,462 | 11,816 | 28,278 | 138,295 | 699 | 155 | 27 |
17 ก.พ. | 17,349 | 11,969 | 29,318 | 144,061 | 728 | 163 | 22 |
18 ก.พ. | 18,066 | 9,956 | 28,022 | 149,589 | 755 | 182 | 27 |
รวม | 100,961 | รวม | 129 |
แล้วคนในวัยไหนมีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโอมิครอน นพ.นูญ เทียบช่วงวัยกับความเสี่ยงเสียชีวิต ว่า คนสูงอายุตั้งแต่ 65-74 ปี หากติดเชื้อไวรัสโควิดย่อมเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าคน 18-29 ปีถึง 65 เท่า ส่วนคนอายุ 75-84 ปี มีความเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่า 140 เท่า และคนอายุ 85 ปี ขึ้นไป มีความเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่า 340 เท่า
ข้อมูลจากกรมอนามัย ผู้สูงอายุได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว 9.8 ล้านคน เข็ม 3 อีก 3.3 ล้านคน ผู้สูงอายุทั้งประเทศมีมากกว่า 12 ล้านคน ยังมีผู้สูงอายุอีกกว่า 2.2 ล้านคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว
ด้วยประการฉะนี้ ในช่วงขาขึ้นของการแพร่ระบาดของเชื้อโอมิครอน สิ่งสำคัญรีบไปฉีดวัคซีนให้ครบเข็มสาม จะสามารถผ่อนหนักเป็นเบาและลดความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ และเสียงเตือนย้ำว่า ไม่ควรฉีดวัคซีนเชื้อตาย และอย่ากลัวผลข้างเคียงของวัคซีน ขอให้กลัวไวรัสโควิดมากกว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เพียงพอสำหรับทุกคนในประเทศไทย
ขณะที่มัวชักช้ากับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม มาตรการเฉพาะหน้าในยามโอมิครอนระบาดหนัก การดูแลตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อตอกย้ำไม่ให้ประมาท สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แนะนำแนวทางเอาตัวรอดและเรียนรู้กับเชื้อไว้ 5 ข้อ ดังนี้
- “โอมิครอน” แค่เปิดปาก ก็แพร่เชื้อได้ แม้เชื้อไม่ค่อยลงปอด แต่เชื้อกลับไปเกาะบริเวณเซลล์ผนังลำคอจำนวนมาก เมื่อผู้ติดเชื้อพูดคุย ตะโกน ไอ จาม เชื้อจึงกระจายออกมาง่าย และมากกว่า ทำให้เกิดการแพร่เชื้อได้ง่าย
- ยิ่งอยู่ในพื้นที่ปิด ละอองเชื้อที่แห้ง ลอยไกลอยู่ได้นาน แม้ผู้ติดเชื้อไม่อยู่แล้ว เชื้อโควิดถูกห่อหุ้มด้วยน้ำมูก หรือ น้ำลาย แต่เวลาอยู่ในพื้นที่ปิด เมื่อน้ำมูก หรือน้ำลายระเหยแห้งไป เชื้อโควิดที่มีขนาดเล็กลง จะสามารถล่องลอยไปไกล และตกค้างในอากาศได้นาน ไวรัส ซึ่งคือน้ำมูกหรือน้ำลาย (เส้นผ่านศูนย์กลาง มากกว่า 5 ไมครอน) ฝอยละอองขนาดใหญ่ น้ำหนักของน้ำมูกหรือน้ำลาย ทำให้ลอยตกทันที เมื่อระเหยเป็น “ไวรัส” ฝอยละอองขนาดเล็ก ลอยในอากาศได้นาน
- พื้นที่ปิดหรือระบายอากาศไม่ดี เสี่ยงเจอเชื้อตกค้าง การเปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ มีส่วนช่วยในการลดการสะสมของเชื้อโรคได้ ทั้งนี้ การเปิดช่องระบายอากาศควรเปิดให้ทแยงด้านกัน เพื่อทำให้อากาศเกิดการถ่ายเทได้รอบบริเวณมากที่สุด ไม่เหลือการตกค้างของเชื้อโรค อีกทั้งควรเปิดระบายอากาศครั้งละ 5-10 นาทีทุก 2 ชั่วโมง ถ้ามีข้อจำกัดอาจเปิดระบายก่อนเริ่มใช้ห้อง ระหว่างพัก และก่อนเลิกใช้
- ในพื้นที่ปิด เชื้อแพร่ยกกำลัง 3 นอกจากการเว้นระยะห่างแล้ว การเลี่ยงไม่อยู่ในพื้นที่ปิดก็ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิดได้ เพราะภายในพื้นที่ปิด เชื้อจะสามารถแพร่ได้ถึง 3 ทางได้แก่ ระยะใกล้ติดจากฝอยละอองขนาดใหญ่ ระยะไกลติดจากฝอยละอองขนาดเล็ก ระยะประชิดติดจากการสัมผัส
- วิธีเอาตัวรอด เมื่ออยู่ในที่อากาศไม่ถ่ายเท ใช้หน้ากากที่มีประสิทธิภาพ สวมอย่างถูกวิธี กระชับใบหน้า เว้นระยะห่าง ล้างมือ และฉีดวัคซีน รวมทั้งการเลือกสวมหน้ากากที่มีประสิทธิภาพเหมาะสูง เช่น N95 หรือ KN95 โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เช่น พื้นที่แออัด มีคนจำนวนมาก ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้มาก แต่ทั้งนี้ต้องสวมให้ถูกวิธี และกระชับใบหน้า เพราะการสวมหน้ากากไม่กระชับอาจเกิดช่องโหว่ให้เชื้อโรดลอดเข้ามาได้ ได้แก่ ช่องเหนือจมูก ช่องข้างแก้ม และช่องใต้คาง
ดังนั้น มาตรการเฝ้าระวังตัวเองจึงเป็นหนทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ในยามความชัดเจนของรัฐบาลและระบบสาธารณสุข กำลังวนกับการถอดหรือไม่ถอดผู้ป่วยโควิด กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กรณีจะมีการปรับเปลี่ยนการบริการรักษาผู้ป่วยโควิด จากยูเซป (Universal Coverage for Emergency Patients ; UCEP) หรือโครงการ “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” สามารถเข้ารักษาในกลุ่มฉุกเฉินทุกโรงพยาบาล
ความไม่ชัดเจนนั้น กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กระหึ่มที่จะปรับการรักษาโควิดใหม่ โดยมาเป็นต้องอาการฉุกเฉินสามารถเข้ารักษาได้ ส่วนอาการไม่ฉุกเฉิน แต่มีอาการเข้ารักษาโรงพยาบาลตามสิทธิของแต่ละคน ส่วนคนไม่มีอาการให้รักษาระบบที่บ้าน คือ Home Issolation (HI) และรักษาในชุมชน คือ Commutity Issolation (CI )
กล่าวโดยรวมคือ หากป่วยโควิดรักษาฟรี ตามสิทธิรักษาพยาบาลของแต่ละคน ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่หากวันนี้ไปเข้า รพ.เอกชนที่หนึ่งและขอตรวจ โดยที่ไม่ได้มีอาการเข้าข่ายภาวะฉุกเฉินวิกฤต เมื่อตรวจแล้วผลบวก จะขอรักษา รพ.เอกชน อันนี้ต้องจ่ายค่ารักษาเอง ซึ่งไม่แตกต่างจากคนจนถูกเทให้ผจญโควิดตามลำพังอีกตามเคย
ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:
https://www.facebook.com/sammachiv
https://www.facebook.com/chumchonmeedee
https://www.youtube.com/user/RightLivelihoods