เปิดชีวิตมุ่งมั่น “เจ๊นุ้ย-หมูกรอบชั่งกิโล” ทอดขายเกลี้ยง ลูกค้ารอซื้อนับชั่วโมง
เปิดชีวิตมุ่งมั่น “เจ๊นุ้ย-หมูกรอบชั่งกิโล”
ทอดขายเกลี้ยง ลูกค้ารอซื้อนับชั่วโมง
“ธีระษา เพิ่มทรัพย์อนันต์ หรือ เจ๊นุ้ย” เจ้าของกิจการหมูกรอบแซ่บชั่งกิโลขาย เธอเข้าสู่วัย 44 ปีเศษ เป็นคนชอบกินหมูกรอบ อาศัยที่อยุธยามา 19 ปี มาเล่าถึงเส้นทางหมูกรอบทอดเปลี่ยนชีวิตตกอับ ถูกผู้คนหมู่มิตรหยามเหยียด ในงานธุรกิจแฟรนไชส์ Smart SME EXPO 2022 เมื่อ 8 ก.ค. 2565 ที่ฮอลล์ 7-8 อิมแพ็คเมืองทองธานี
“ดีใจมาก คนไม่เคยขายของเลย ต้องไปนั่งขายในตลาดนัด 2 ชั่วโมงกว่า ทำคนเดียวทั้งทอดและสับหมูมือเป็นระวิง ใจฟูมาก บอกตัวเองว่า ชีวิตจะไม่ทำอะไรอีกแล้วนอกจากขายหมูกรอบชั่งกิโล” เจ๊นุ้ย เล่าชีวิตมาขายหมูกรอบ แล้วทำให้ชีวิตพลิกเปลี่ยนฟื้นคืนกลับ
ราวกับว่า หมูกรอบได้พลิกชีวิตเจ๊นุ้ย และใจข้างในที่ยืนยันแน่วแน่ ตั้งมั่น เอาจริงกับการขายหมูกรอบก็เปลี่ยนตัวตนของเจ๊นุ้ยถึง 2 ครั้งคราว ครั้งแรกเปลี่ยนจากคนตกงาน ไม่เคยขายหมูกรอบ จึงตัดสินใจขายหมูกรอบสนองอารมณ์ปากตัวเอง และครั้งสอง “เพจชี้ช่องรวย” เปลี่ยนให้คนทั่วไป ผู้เคยมีปัญหายามลำบากต้องการกำลังใจ และอยากเอาเยี่ยงอย่างเธอ ดังนั้น เจ๊นุ้ยคือที่ปรึกษาเส้นทางชีวิตใหม่ให้คนทุกข์ระทมกับเศรษฐกิจย่ำแย่ได้มีโอกาสชีวิตที่ฟื้นคืนไปสู่อนาคตที่ลืมตาอ้าปากอีกครั้ง
“เจ๊นุ้ย” เล่าด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น อิ่มเอิบปนเสียงหัวเราะต่อเนื่องเป็นระยะว่า จุดเริ่มขายหมูกรอบมาจากความเก็บกดของตัวเอง เนื่องจากอยากกินหมูกรอบแต่ไม่ได้กิน เพราะร้านอาหารขายหมดก่อน เมื่อตกงานจึงคิดค้าขาย เริ่มด้วยการสำรวจทำเลตลาดนัดย่านอยุธยาที่มีคนเยอะและขายของดี
เธอบอกว่า ได้ตระเวณ หาแหล่งค้าขาย โดยเลือกทำเลที่ไม่ไกลจากที่อยู่อาศัยของตัวเอง เพื่อสะดวกไปขาย แล้วจึงมาได้ตลาดเลียบด่วนบางปะอิน ซึ่งใกล้บ้าน และสะดวกกับกำลังแรงงานคนเดียว คือตัวเองกับใจที่มุ่งมั่นเอาดีกับการขายหมูกรอบ
เมื่อเจ๊นุ้ยตัดสินใจเอาดีในฐานะเจ้าของกิจการหมูกรอบแล้ว เธอเริ่มค้นหาสูตรการปรุงรสอร่อยในยูทูป กระทั่งมั่นใจจึงไปซื้อหมู 3 กิโลกรัมมาลองทำตามสูตร นำไปขาย เกิดผลเกินคาดคือ วันแรกขายหมดเกลี้ยง จากนั้นวันถัดไปได้เพิ่มยอดขายเป็น 10 กิโลกรัม แล้วขยับไป 15 กิโลกรัม นับวันเข้ายิ่งขาย ลูกค้ายิ่งซื้อกันเพิ่มมาก จนรอซื้อกันนานนับชั่วโมง เธอครุ่นคิดหาหนทางให้บริการได้รวดเร็ว จึงรู้สาเหตุว่ากระทะทอดหมูเล็กเกินจะทอดพอขายให้ลูกค้าที่รอนาน จึงเปลี่ยนกระทะใหญ่ขึ้น ผลคือ ยอดขายหมูกรอบพุ่งขึ้นในเดือนเดียวเริ่มจาก 3 กิโลกรัมเป็น 5,700 กิโลกรัม สะท้อนว่า ชื่อหมูกรอบเจ๊นุ้ยติดตลาดผู้ซื้อเสียแล้ว
“ตอนหมูแพง มีคนแนะนำให้เลิกทำหมูกรอบขาย เวลามีคนมาบอกอะไรต้องฟังแล้วตรองในสมอง เอาความคิด ความรู้สึกของเราใส่ลงไปว่า ใช่มั้ย จริงหรือไม่ที่เขาพูด แล้วออกมาเป็นตัวเราหรือไม่ ต้องเชื่อตัวเอง อย่าเชื่อใคร เพราะหมูกรอบคือทางของเรา และเราจะเอาดีกับขายหมูกรอบ”
แล้วโชคก็เข้าข้าง เจ๊นุ้ย เล่าว่า ราวกับสวรรค์ประทานมาให้ จากร้านค้าเล็กๆ เริ่มมีชื่อทำยอดขายวันละ 7-8 พันบาท ตกเดือนละประมาณ 2 แสน วันหนึ่งเพจชี้ช่องรวยติดต่อมาถ่ายรีวิวหมูกรอบ “เราร้องกรี๊ดเลย เพจนี้มีคนติดตามเป็นล้าน ดีใจมาก คืนนั้นนอนไม่หลับ รอเวลานัดมารีวิว”
เมื่อเพจชี้ช่องรวยเสนอเรื่องราวหมูกรอบ ทำให้เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ หลังจากนั้นชีวิตก็เปลี่ยนจากขายในตลาดนัดย่านบางปะอินและพื้นที่ใกล้เคียง เธอไต่เพดานไปถึงขั้นขายให้คนทั้งประเทศ กลายเป็นคนสาธารณะ เป็นที่รู้จัก เป็นแบบอย่างของคนมีปัญหาที่ต้องการพลิกฟื้นชีวิตคืน และเป็นที่ปรึกษาให้กำลังใจ เติมพลังกับคนที่คิดจะหาโอกาสเริ่มต้นอาชีพใหม่ อีกทั้งเป็นอะไรอีกจิปาถะที่คนโทรมาวันละหลายราย ทั้งอยากปรึกษา และอยากพูดคุย ช่วยปลอบและเติมพลังใจให้ตื่นสู้
เป็นอันว่า วันนี้ “เจ๊นุ้ย”มีคนรู้จักมาก มีผู้ติดตามกิจการหมูกรอบในเวลา 3 เดือนกับ 10 วันมียอดวิวมากถึง 4 ล้านวิว สิ่งนี้คือ “มูลค่าและเป็นทรัพย์สินอันมีค่า”ของโลกสื่อสารยุคใหม่ เกิดการเชื่อมโยงติดต่อชื้อขายสินค้า อีกทั้งต้องการเป็นตัวแทนจำหน่าย จนกิจการกลายเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ ขยายเพิ่มขายส่งหมูอบกรอบ ซึ่งเช่นเคย เธอบอกว่า ยังไม่เคยทำมาก่อนเหมือนเดิม เพราะหมูอบสุกประมาณ 70-80% ยังไม่ได้ทอด แต่เทคนิคการแก้ปัญหาง่ายๆสุดน่าทึ่ง เธอขอปรึกษา หาคำแนะนำจากลูกค้าที่ซื้อสินค้าของตัวเอง ราวกับกิจการนี้เป็นตลาดกันเอง แลกเปลี่ยนกันและกัน ได้สมประโยชน์ไปด้วยกัน
“ลูกค้าแนะนำให้ติดต่อขนส่งห้องเย็น เราจึงถือสินค้าหมูอบไปที่ขนส่งขอคำปรึกษาในการส่งสินค้าเพื่อไม่ให้เสียหาย เราเชื่อและทำตามเขา หมูกรอบอบจึงเก็บไว้ได้นาน ลูกค้าพร้อมนำมาปรุงขายได้ตามต้องการ”
จุดเด่นของหมูกรอบชั่งกิโลของเจ๊นุ้ย คือ มีคู่แข่งน้อย มีคู่มือการทำให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ พร้อมสอนให้ตัวต่อตัว แนะอุณหภูมิและเวลาในการทอดแก่คนมือใหม่ ใครทอดไม่เป็นหรือไม่เคยทอด ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ เพราะวิธีทำง่าย ไม่ซับซ้อน ส่วนวิธีสับขายใช้เวลาเรียนรู้ไม่นาน ผู้ไม่มีประสบการณ์มาก่อนก็สามารถฝึกกันได้
“วิธีการสอนของเจ๊นุ้ยง่ายๆ เราจับมือทำเลย มั่นใจอย่างไงก็เป็น เหมือนลูกเขียนหนังสือไม่เป็น ถ้าจับมือเขียนบ่อยๆ ก็เขียนเป็น ดังนั้นจึงอยู่ที่การเริ่มต้น ถ้าเริ่มต้นดี ก็ทำได้ง่าย”
หมูกรอบเจ๊นุ้ยขายแฟรนไชส์ราคาไม่แพง เธอ บอกว่า จะคืนทุนได้ไว ถ้าขายวันละ 20 กิโลกรัม/ไซด์ใหญ่ สามารถคืนทุนใน 20 วัน ถัดจากนั้นกำไรอย่างเดียว ช่องทางตลาดธุรกิจหมูกรอบใช้พื้นที่ตลาดนัดซึ่งเริ่มตั้งแต่เวลา 3-4 โมงเย็นไปถึงค่ำเวลาหนึ่งทุ่มตลาดจึงวาย เท่ากับทำงานแค่ 4-5 ชั่วโมงก็กลับบ้าน
“หนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง เราใช้เวลา 4-5 ชั่วโมงหาเงินเป็นกำไรเข้ากระเป๋าวันละ 2,000 บาท ถ้าแบ่งเป็นเวลานอน 9 ชั่วโมง คุยกับแฟนอีก 2 ชั่วโมง ยังเหลือเวลาอีก 5-6 ชั่วโมงไปเดินห้างก็ได้ ดูแลครอบครัว ถามว่าคนจบปริญญาตรีทำงานยังไม่คุ้มค่ากับการขายหมูกรอบเวลา 4-5 ชั่วโมงเลย”
ราวกับ “เจ๊นุ้ย”เลือกเส้นทางชีวิตได้ถูก เธอมีทั้งหัวคิดธรรมชาติทางด้านการตลาด โดยก่อนลงมือทำงานต้องตรวจสอบประเมินทำเลค้าขาย คิดหาช่องทางโอกาสกิจการหมูกรอบ เธอ เล่าว่า ตลาดนัดมีคนเดินวันละเป็นพันคน มีเงินสะพัดวันละ 2 ล้านบาท ถ้าตลาดใหญ่มีเม็ดเงินมากถึง 20 ล้านเลย ดังนั้น ตลาดนัดจึงเป็นทำเลทองของมือใหม่ต้องการขายหมูกรอบขั่งกิโล
สินค้าหมูอบกรอบพร้อมทอดของเธอขายกิโลกรัมละ 360 บาท ได้เพ็คเกจกล่องใส่บวกน้ำจิ้มและถุง ผู้ซื้อแฟรนไชส์ลงทุนแค่ซื้อน้ำมันพืชมาทอดจากหมู 1 กิโลกรัมเหลือ 8 ขีด ขายขีดละ 60 บาท หากลงทุนในหนึ่งเดือน 2.16 แสนบาท ขายได้วันละ 20 กิโลกรัม หนึ่งเดือนเป็นเงิน 2.88 แสนบาท ได้กำไรต่อเดือนอยู่ที่ 72,000 บาท หักค่าน้ำมัน ค่าเช่าที่ ถ้าคิดรวมคร่าวๆเป็นครึ่งต่อครึ่ง แต่ทำงานวันละ 4-5 ช่วโมง เหลือเงินกำไรถึงเดือนละ 36,000 บาท ซึ่งมากโขและมากกว่าเงินเดือนของคนจบปริญญาตรีต้องเดินทางตากลม ฝ่าเปลวแดดระอุ บางครั้งยังลุยฝนไปทำงานออฟฟิคเสียอีก
สำหรับราคาแฟรนไชส์มี 2 ขนาด คือ ขนาดแรกราคา 49,000 บาท ได้หมู 20 กิโลกรัม พร้อมแพ็คเกจน้ำจิ้ม และโต๊ะคีออส เต็นท์ผ้าใบ เขียง มีด หมอทอด เรียกได้ว่าจะได้ทุกอย่างพร้อมขาย แค่ผู้ซื้อแฟรนไชส์เช่าที่ก็ไปขายได้เลย สิ่งสำคัญราคานี้ไม่มีเก็บค่ารายเดือน แต่ผู้ซื้อทำสัญญา 3 ปี หมดแล้วทำสัญญาอีก 10,000 บาทต่อเวลา 2 ปี
อีกราคาหนึ่งคือ ขนาดราคา 29,000 บาท ได้ป้าย พร้อมหมูอบพร้อมทอดอีก 10 กิโลกรัม ไม่ได้โต๊ะคีออส ไม่ได้โต๊ะข้าง ไม่ได้เขียง เต็นท์ เตาแก๊ส นอกนั้นได้หมด ทำสัญญา 3 ปี ครบต่อใหม่จ่ายอีก 10,000 บาทต่อ 2 ปีเช่นกัน
“สิทธิ์พิเศษในงานนี้ ซื้อแฟรนไชส์ 1 สาขารับส่วนลด 2,000 บาท ถ้าซื้อ 3 สาขา ได้ส่วนลด 9,000 บาท จากราคาเต็ม 1.47 แสนบาทต้องจ่ายกว่า 1.3 แสนบาท หากซื้อถึง 3 สาขาคงไม่ได้ขายเอง ควรจ้างคนมาขายให้ แล้วเย็นไปเก็บเงินในแต่ละวัน คิดเสียว่าขายวันละ 15 กิโลกรัมต่อสาขา กำไรสาขาวันละ 2,100 บาท หักแล้วอาจเหลือ 1,400 บาท 3 สาขาก็ได้วันละ 4,200 บาท เดือนละกว่า 120,000 บาท เยอะมาก”
นอกจากนี้ เมื่อซื้อแฟรนไชส์แล้ว ยังได้หมูเพิ่มเป็น 60-80 กิโลกรัม (ตามเงื่อนไขส่วนลด) ส่วนการขนส่งในเขตภาคกลาง และกรุงเทพ ปริมณฑล เจ๊นุ้ยสัญญาว่า จะส่งสินค้าเอง นอกจากพื้นที่นี้ ใช้ขนส่งอินเตอร์เอ็กซ์เพรส (Inter Express Logistics)
ในแง่มุมชีวิตมุ่งมั่นทอดหมูกรอบชั่งกิโลขาย เจ๊นุ้ย บอกว่า สามารถยิ้มได้ในทุกวันนี้ เธอเล่าด้วยตาเศร้าๆ เสียงสั่นระริก ว่า เคยมีปัญหามาก่อนจากการใช้ชีวิตผิดพลาด จนแทบอยากฆ่าตัวตาย แต่ลูกทำให้เปลี่ยนชีวิตล้มเหลว ตัดสินใจมีลมหายใจอยู่ต่อ จึงคิดลงเอยด้วยการทำหมูกรอบขาย
นี่เป็นช่วงชีวิตเปลี่ยนในครั้งที่สามของเจ๊นุ้ยที่ฟื้นคืนกลับก็ว่าได้ “จากนี้ไปจะขายหมูกรอบชั่งกิโลอย่างเดียว” เธอประกาศเลือกเส้นทางชีวิตอย่างแน่วแน่
ติดตามมูลนิธิสัมมาชีพได้ที่
https://www.facebook.com/sammachiv
https://www.facebook.com/chumchonmeedeehttps:
//www.youtube.com/user/RightLivelihoods