skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
วัคซีนเข็มสองอาวุธลับ  ฟื้นเศรษฐกิจไทย

วัคซีนเข็มสองอาวุธลับ ฟื้นเศรษฐกิจไทย

วัคซีนเข็มสองอาวุธลับ

ฟื้นเศรษฐกิจไทย

 

 

การฉีดวัคซีนเข็มแรกในวาระแห่งชาติเดือนมิถุนายนนี้ ส่อเค้าโกลาหลเนื่องจากปริมาณวัคซีนมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนลงทะเบียนจองคิวไว้กับแอปหมอพร้อม ดังนั้น โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งทยอยเลื่อนการฉีดออกไป ด้วยเหตุไม่ได้รับการจัดสรรให้

ก่อนหน้านี้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ยืนยันเสมอว่า มีวัคซีนพร้อมฉีดให้คนไทยเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยในความพร้อมนั้นวัคซีนจะได้มาจากซื้อซิโนแวค แอสตร้าเซเนกา จอห์สันแอนด์จอห์นสัน โมเดอร์นา ไฟเซอร์
ทั้งนี้ วัคซีนเหล่านี้มีเพียงไฟเซอร์ยังไม่ขอขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา หรือ อย. นอกนั้นขึ้นทะเบียนหมด แต่นำเข้ามาจริงเพียงจากซิโนแวคจำนวน 6 ล้านโดส และจะเข้ามาอีกในมิถุนายนนี้ 3 ล้านโดส รวมทั้งแอสตร้าฯที่จะส่งมอบให้อีก 6 ล้านโดส คิดในเชิงตัวเลขไทยจะมีวัคซีนฉีดให้ประชาชนในมิถุนายนถึง 9 ล้านโดส จึงทำให้รัฐบาลมั่นใจว่า มีวัคซีนเพียงพอ

ขณะที่ความโกลาหลเริ่มหนักขึ้น หลายจังหวัดรายงานได้รับจัดสรรวัคซีนในจำนวนน้อย บางจังหวัดมีพอเพียงฉีดแค่วันเดียว แต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ยังยืนกระต่ายขาเดียวบอกว่า ไม่ต้องกังวล มีวัคซีนเพียงพอในมิถุนายนนี้

ดังนั้น การฉีดวัคซีนจึงเดินหน้าไปตามแผนวาระแห่งชาติ เพราะการฉีดวัคซีนเป็นเดิมพันหลักที่จะทำให้ประเทศไทยได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ เศรษฐกิจจะฟื้น ประชาชนจะมีการงานทำ โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายการฉีดวัคซีนโควิดในสิ้นปี 2564 ให้ได้ครบเข็มสองอย่างน้อย 50 ล้านคน เพื่อจะไปสู่ปลายทางการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ให้แก่ประชากร 70% ของประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องใช้วัคซีนมากถึง 100 ล้านโดส

จากข้อมูลการฉีดวัคซีนระหว่างวันที่ 28 ก.พ. – 4 มิ.ย. 2564 ซึ่ง ศบค. รายงานในวันนี้ (5 มิ.ย. 64) ว่า ประเทศไทยมีผู้ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็มทั้งสิ้น 2,818,676 ราย ผู้ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วทั้งสิ้น 1,324,268 ราย รวม มีการฉีดวัคซีนไปแล้วทั้งสิ้น 4,142,944 โดส

เมื่อนำมาคำนวณ หากนับเฉพาะจำนวนคนไทยที่เข้าถึงวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม ซึ่งตัวเลขล่าสุดอยู่ที่ 2.8 ล้านรายนั้น คิดเป็น 5.6% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือเท่ากับ 4.00% ของประชากรไทยทั้งหมด หรือถ้านับเพียงผู้ได้รับวัคซีนครบทั้ง 2 โดสแล้ว ซึ่งมีอยู่ที่ 1.23 ล้านรายนั้นคิดเป็น 2.64% ของเป้าหมาย 50 ล้านราย หรือเท่ากับ 1.85% ของประชากรไทยทั้งหมด นั่นหมายความว่า GDP จะเติบโตในปี 2564 ระดับ 2-3%

ส่วนศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) หรือ EIC รายงานล่าสุดเกี่ยวกับมุมมองเศรษฐกิจไทย ณ ไตรมาส 2 ปี 2564 โดยประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 1.9% ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2% หลังจากได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการระบาดของโควิดระลอกใหม่ ที่คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 4 เดือน (เม.ย.-ก.ค.) ในการควบคุม

การระบาดของโควิดระลอกใหม่ จะส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะกิจกรรมทางเศรษฐกิจในลักษณะ face to face ลดลงมาก ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศปีนี้มีแนวโน้มลดต่ำกว่าคาดมาอยู่ที่ 4 แสนคน อย่างไรก็ดี สาเหตุที่เศรษฐกิจไทยไม่ชะลอลงจากคาดการณ์ครั้งก่อนมากนัก เป็นผลจากแนวโน้มการส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่ฉีดวัคซีนได้เร็วกว่า

รวมทั้งมาตรการความช่วยเหลือของภาครัฐทั้งจากวงเงิน 2.4 แสนล้านบาทภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และวงเงินจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทที่ออกมาใหม่ ซึ่งเม็ดเงินราว 1 แสนล้านบาท จะช่วยพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปีนี้ อีกทั้ง ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะยังฟื้นตัวอย่างช้า ยังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงด้านตกต่ำที่สำคัญ ได้แก่ ระยะเวลาในการควบคุมการระบาดที่อาจใช้เวลานานมากขึ้น และความล่าช้าด้านการฉีดวัคซีน ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอ่อนแอและล้าช้าออกไปอีก

“ทั้งนี้ การเร่งฉีดวัคซีนเพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นและฟื้นเศรษฐกิจในระยะสั้นควบคู่กับการผลักดันมาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรองรับ New Normal จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดขนาดของความเสียหายทางเศรษฐกิจแบบถาวร (permanent output loss) ของเศรษฐกิจไทย” EIC(Economic Intelligence Center) ระบุ

 

อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลจากธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ ADB ระบุถึงการฟื้นฟูของเศรษฐกิจจากการเติบโตของ GDP ที่สัมพันธ์กับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นจนสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้ แต่“ถ้าโรคระบาดชนะ การฟื้นตัวของประเทศก็พ่ายแพ้”

แน่ล่ะว่าการประกอบสร้าง GDP ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยของโรคระบาดอย่างเดียว เพราะอาจจะมีหลายกิจการที่ยังดำเนินการต่อไปได้ในระหว่างนี้ แต่โรคระบาดก็เป็นปัจจัยตัดสินสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

รวมทั้ง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ  IMF ได้คาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ ที่น่าสนใจคือสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งเมื่อปี 2563 ทั้งสองประเทศนี้นับว่าได้รับผลกระทบหนักจากการระบาด เชื้อลุกลามรวดเร็วจนมีตัวเลขคนติดเชื้อหลักหมื่นเรือนแสนต่อวัน
แต่วันนี้ทั้งสองประเทศอยู่ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปเมื่อสามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบ 2 เข็ม โดยสหรัฐอเมริกาครบสองเข็ม 32.3% ของประชากร IMF คาดว่า ในปี 2564  GDP จะเติบโตถึง 5.1% ขณะที่อังกฤษฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม 23.8% ของจำนวนประชากร คาดว่าในปี 2564 GDP จะโต  4.5%

ดังนั้น การฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มจึงมีความหมายกับการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้สามารถเอาชนะการระบาดของโควิดได้ เมื่อชนะได้แล้วชีวิตปกติจึงกลับมา พร้อมกับการฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยเป้าหมายสำคัญของการฉีดวัคซีนแห่งชาติสำคัญเช่นนี้ จึงเร่งรุดเดินหน้าก้าวข้ามอุปสรรคโกลาหลการจัดสรรวัคซีนไม่เพียงพอในขณะนี้ให้ได้ก่อน ซึ่งช่วงเดือนแรกอยู่ในภาวะเริ่มต้นย่อมมีปัญหาคลุกคละเป็นธรรมดา


 

 


ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:

https://www.facebook.com/sammachiv

https://www.facebook.com/chumchonmeedee

https://www.youtube.com/user/RightLivelihoods

Back To Top