skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
ชุดตรวจ ATK ความเชื่อมั่นท่ามกลางสังคมโกลาหล!

ชุดตรวจ ATK ความเชื่อมั่นท่ามกลางสังคมโกลาหล!

ชุดตรวจ ATK

ความเชื่อมั่นท่ามกลางสังคมโกลาหล!

ไม่ธรรมดาเสียแล้ว…เมื่อความโกลาหลเกิดขึ้นทุกหย่อมสังคมไทย โดยศูนย์กลางความปั่นป่วนวุ่นวายล้วนอยู่ที่รัฐบาลกับภาครัฐ เนื่องจากมาตรการที่ออกมาถูกวิจารณ์ ขาดความน่าเชื่อถือ ทุกภาคส่วนสังคมกังขาความโปร่งใสไปแทบทุกกรณี สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความล้มเหลวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำประเทศ และรัฐมนตรีรับผิดชอบตามกฎหมาย 31 ฉบับ

ถ้าไล่เรียงความปั่นป่วนตั้งแต่การระบาดของโควิดมานานเกือบ 2 ปีแล้ว ย่อมรับรู้ปัญหามาจากแกนกลางของฝ่ายรัฐทั้งสิ้น ทั้งการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อสกัดและป้องกันการแพร่ระบาดโควิด การจัดหายาและบริหารเรื่องฉีดวัคซีน การบัญชาการ ศบค.เร่งรุกตรวจหาเชื้อโรคแยกผู้ป่วยไปกักตัว รักษา อีกทั้งการออก พรก.กู้เงินฉุกเฉิน 2 รอบรวม 1.5 ล้านล้านบาท และการกำหนดเงื่อนไขเยี่ยวยาที่ไม่ทั่วถึง กระทั่งการสั่งซื้อชุดตรวจโควิด Rapid Test Antigen หรือ Antigen Test Kits (ATK) จำนวน 8.5 ล้านชุด ซึ่งกำลังถูกวงการหมอและแพทย์ชนบทจับตาถึงความพิรุธในสิ่งผิดปกติ

 

โกลาหลป่วนน่าเชื่อถือซ้ำซาก

ว่ากันตามข้อมูลจริงอย่างถึงที่สุดแล้ว ทุกความโกลาหลที่เกิดมาต่อเนื่องนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีผู้มีอำนาจเต็มจากการออกประกาศฉบับที่ 3 รวบอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมาย 31 ฉบับเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 27 เมษายน 2564 โดยมีรายละเอียดสำคัญระบุว่า

“ให้บรรดาอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามกฎหมาย หรือที่เป็นผู้รักษาการตามกฎหมายหรือที่มีอยู่ตามกฎหมายโอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุญาต อนุมัติ สั่งการ บังคับบัญชาหรือช่วยในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม ระงับยับยั้งในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือฟื้นฟูหรือช่วยเหลือประชาชน”

 

ทั้งนี้ พรบ.ยา, พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, พรบ.องค์การเภสัชกรรม และ พรบ.ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ ล้วนเป็นกฎหมายที่รวบอำนาจจาก รมว.สาธารณสุขมาอยู่ภายใต้การสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งสิ้น แต่เมื่อประชาชนกังขาการบริหารงานที่อึดอาดก็ไม่เคยชี้แจง ปล่อยให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ออกมาเป็นนายด่านเผชิญหน้ากับปัญหาไม่หยุดหย่อนไปวันๆ

ทำไมการจัดหาวัคซีนจึงล่าช้าไม่ทันกับการระบาดรุนแรงของโควิดกลายพันธุ์เป็น “เดลตา” ทำไมแอสตร้าเซเนกา จึงไม่ได้ตามกำหนดเวลามาบริการฉีดประชาชน ทำไมรัฐจึงสั่งซื้อแต่วัคซีนชิโนแวคที่หมอกังขาความมีประสิทธิภาพและราคาแพง แล้วทำไมรัฐบาลจึงรอแต่วัคซีนบริจาคโดยเฉพาะตั้งโรงงานผลิตแอสตตร้าฯในประเทศแต่กลับรอบริจาคจากอังกฤษและญี่ปุ่น รวมทั้งล่าสุดต้องขอยืมจากประเทศภูฐานกว่า 1.4 แสนโดสมาใช้แก้ขัดไปก่อน

ปมปัญหาด้วยคำถาม “ทำไม” เหล่านี้ นายกรัฐมนตรีต้องเป็นแม่งานหลักในฐานะนายกรัฐมนตรีและผู้รวบอำนาจตามกฎหมาย 31 ฉบับ จึงควรสร้างความกระจ่างให้ประชาชนสิ้นความโกลาหลและยุติความปั่นป่วนด้วยตนเอง ซึ่งอาจเกิดความน่าเชื่อถือมากกว่าให้นายอนุทิน ผู้ไร้อำนาจและผู้ถูกยึดอำนาจตามกฎหมายออกมาพูดล่องลอยลม แล้วส่งผลให้ประชาชนยิ่งกังขาไปกันใหญ่

 

ซื้อชุด ATK ซ้ำเติมความมั่นใจ

ในสถานการณ์ล่าสุดกับการซื้อชุด ATK ยี่ห้อ PEPU ผลิตโดยประเทศจีน จำนวน 8.5 ล้านชุดราคาชุดละ 70 บาทรวมมูลค่าเกือบ 600 ล้านบาท จนทำให้หน่วยงานองค์การเภสัช (อภ.) สำนักงานอาหารและยา (อย.) ต้องงัดศักดิ์ศรีเปิดศึกโต้ตอบข้อมูลกับสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จนวุ่นวายกันยกใหญ่

การตอบโต้ของหน่วยงานดังกล่าวนั้น มีปมจากระแวงการสั่งยัดไส้ให้ซื้อ PEPU ที่ชมรมแพทย์ชนบทและ สป.สช. ท้วงติงถึงความไม่มีประสิทธิภาพในการตรวจหาเชื้อ และไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินของโรคโควิดระบาดทั่วโลก

แน่ละ…อำนาจตัดสินใจซื้ออยู่ที่ อภ. และแม้ อภ.จะย้ำถึงการพิจารณาว่า ถูกต้องตามขั้นตอน พร้อมทั้งอ้าง อย.ตรวจสอบแล้วมีประสิทธิภาพครบถ้วนตามต้องการก็ตาม แต่ สปสช.และชมรมแพทย์ชนบท ก็ทำหน้าที่ท้วงติงเพื่อให้เกิดความรอบคอบอีกชั้นหนึ่ง แล้วที่สุด อภ.จะซื้อก็สามารถดำเนินการได้ตามอำนาจกฎหมาย ก็ไม่ว่าอะไรกัน

ชมรมแพทย์ชนบท โดยนายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ออกแถลงการณ์ต่อเนื่องถึง 3 ฉบับท้วงติงชุดตรวจยี่ห้อ PEPU ไม่มีประสิทธิภาพ พร้อมให้ อภ.และ อย.ควรประกาศความรับผิดชอบถ้าเกิดปัญหาการตรวจเชื้อโควิดขึ้นมา อีกทั้งประกาศขนทีมแพทย์ชนบท 60 ทีมมาบุกกรุงเทพฯครั้งที่ 4 เพื่อตรวจประสิทธิภาพของชุดตรวจที่สั่งซื้อมาในภาคสนามให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่า เป็นชุดตรวจทิพย์หรือของจริงกันแน่!!

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ยังเงียบเฉยอีกตามเคย พล.อ.ประยุทธ์ ควรออกโรงมาเคาะการตัดสินใจสั่งซื้อชุดตรวจเชื้อโควิดเพื่อยุติปัญหาการกระทบกระทั่งระหว่างหน่วยงานรัฐคือ อภ.-อย. กับ สปสช. เพราะทั้งที่ 3 หน่วยงานนี้อยู่ภายใต้การบัญชาสั่งการในฐานะ “รัฐมนตรี” ผู้รับผิดชอบโดยตรงตามประกาศฉบับที่ 3 ที่รวบอำนาจมาจากรัฐมนตรีสาธารณสุข

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.กลับสั่งตั้งกองบรรณาธิการบริหารตอบโต้เฟคนิวส์ ซึ่งคงเชื่อว่ามีข่าวบิดเบือนมากมายมาปั่นป่วนให้รัฐบาลสูญสิ้นความน่าเชื่อถือในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กๆ และไม่แน่ใจว่าจะประสบความสำเร็จได้แต่ความจริงที่ถูกเผยแพร่ หรือจะเกิดเฟคนิวส์ให้ตอบโต้กันหนักมือขึ้นไปอีก

 

ประสิทธิภาพกับผลกระทบสุขภาพ ปชช.

ถึงที่สุดแล้วในกรณีชุดตรวจยี่ห้อ PEPU ถ้าเกิดไร้ประสิทธิภาพตามแพทย์ชนบทท้วงติงแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรับผิดชอบเป็นคนแรก ในฐานะรัฐมนตรีที่รวบอำนาจมาจากนายอนุทิน จากนั้น อภ.และ อย.อีกทั้ง รพ.ราชวิถี ต้องรับผิดชอบตามลำดับที่ดันทุรังให้สั่งซื้อท่ามกลางความกังขาที่โถมเข้าหา

ความกังขาว่า ชุดตรวจยี่ห้อ PEPU ไม่มีประสิทธิภาพในการตรวจหาเชื้อโควิดนั้น เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถ้าชุดตรวจไม่มีประสิทธิภาพรายงานผลตรวจผิดเพี้ยนความจริง คือ ผู้เข้าตรวจไม่ติดเชื้อแต่มีผลเป็นติดเชื้อแล้ว ผู้รับการตรวจย่อมสุ่มเสี่ยงถึงชีวิตในการรักษา ถึงขั้นต้องกินยา ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) เพื่อต้านเชื้อโควิด ทั้งที่ไม่ติดโควิด จึงเป็นสภาพที่น่าหวั่นระทึกต่อสุขภาพและชีวิตอย่างยิ่ง

หนำซ้ำถ้าถูกวินิจฉัยว่า ติดเชื้อในกลุ่มสีเขียวให้กักตัวที่ รพ.สนาม หรืออยู่ในกลุ่มสีเหลืองต้องไปรักษาในโรงพยาบาลหลัก อยู่ใกล้กับคนป่วยติดเชื้อโควิดอื่นๆ จะกลายเป็นผู้ต้องรับเชื้อโควิดเอาอีกทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้ป่วย สิ่งนี้จึงเป็นความกังวลจากการใช้ชุดตรวจที่ไม่มีประสิทธิภาพรายงานผลตรวจผิดพลาดไป

ขณะเดียวกัน ถ้าชุดตรวจไม่มีคุณภาพแล้วรายงานว่า ผู้รับการตรวจซึ่งติดเชื้อโควิดอยู่แล้วแต่ผลตรวจออกมาไม่ติดเชื้อ ผู้รับการตรวจก็ไม่สามารถถูกแยกตัวออกจากชุมชนได้ พร้อมทั้งยังใช้ชีวิตปกติ สภาพเช่นนี้ย่อมเป็นผู้แพร่เชื้อโควิดให้รุนแรงขึ้นมาได้เช่นกัน

 

ใคร? ควรรับผิดชอบ

ทั้งสภาพผลตรวจ “ติดเชื้อหรือไม่เชื้อ” ที่ผิดเพี้ยนจากการไร้ประสิทธิภาพของชุดตรวจเช่นนี้ สิ่งผลต่อประชาชนและชุมชนอย่างสำคัญยิ่ง ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ควรต้องรับผิดชอบในฐานะรัฐมนตรีผู้บังคับบัญชาหน่วยงานตามกำหมายที่ออกประกาศรวบอำนาจมาโดยตรง

แล้วแพทย์ชนบทถามว่า อภ.-อย.จะรับผิดชอบอย่างไรทำไมไม่ประกาศเป็นสัญญาออกมาให้ประชาชนผู้อยู่ในข่ายต้องเสี่ยงชีวิตกับผลตรวจหาเชื้อโควิด แต่ถ้าชุดตรวจยี่ห้อ ATK ที่จัดซื้อมาผ่านการตรวจสอบประสิทธิภาพจากแพทย์ชนบทแล้ว ผลออกมามีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ น่าเชื่อถือประชาชนย่อมต้องชื่นชมการตัดสินใจสั่งซื้อของ อภ.เช่นกัน

 

 

พร้อมทั้ง ความเงียบและนิ่งเฉยของพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะรัฐมนตรีที่รวบอำนาจตามกฎหมายมาบัญชาการหรือสั่งการก็จะได้รับความเชื่อมั่นเพิ่มไปด้วย ดังนั้นกองบรรณาธิการบริหารตอบโต้ข่าวบิดเบือนก็แทบหมดหน้าที่ไปโดยปริยาย เมื่อความจริงปรากฎขึ้นและความโกลาหลจะผ่อนคลายลงอีกอักโข

แล้วทุกชีวิตที่พยายามดิ้นรนตามยถากรรมเพื่อให้รอดพ้นโควิด คงได้แต่รอคอยฉีดวัคซีนให้ครบ 100 ล้านโดสในเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2564 ตามคำสัญญาของรัฐบาล ถึงที่สุดความปั่นป่วนก็ยุติไปโดยสิ้นเชิง ชีวิตปกติจะกลับมาโดยมีรูปธรรมคนยุโรปหลั่งไหลเข้าชมบอลเต็มสนามเป็นสิ่งประกันได้ ซึ่งความหวังเช่นนี้ว่ากันตามข่าวจริงที่รัฐพยายามสร้างภาพตอกย้ำให้เชื่อมั่น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 


ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:

https://www.facebook.com/sammachiv

https://www.facebook.com/chumchonmeedee</a

https://www.youtube.com/user/RightLivelihoods

 

Back To Top