จดจำอีก 38 วันเปิดประเทศ!! คืนชีวิตหลังโควิดพันธุ์เดลตา
จดจำอีก 38 วันเปิดประเทศ!!
คืนชีวิตหลังโควิดพันธุ์เดลตา
ยังจำได้หรือไม่!!? คำประกาศเป้าหมายเปิดประเทศ 120 วันของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2564…โดยคำประกาศวันนั้น นอกจากสร้างความฮือฮาแล้ว ยังมีความหมายถึงการส่งผ่านลมคำบอกความหวังจะคืนชีวิตหลังโควิดให้ประชาชนครั้งสำคัญ
“วันนี้ ผมขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า ผมตั้งเป้าเอาไว้ว่าประเทศไทยจะต้องเปิดประเทศทั้งประเทศให้ได้ภายใน 120 วันนับจากวันนี้” พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเมื่อช่วงเย็น 16 มิถุนายน 2564 โดยคำประกาศนี้มีเงื่อนไขคือ “ต้นเดือนตุลาคมจะมีประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อยเข็มแรกแล้วจำนวน 50 ล้านคน”
ถ้าแยกแยะคำประกาศนี้ ย่อมสะท้อนถึงความหมายสำคัญอย่างน้อย 3 ประการซ่อนไว้คือ หนึ่งลดทอนคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เคยสัญญาก่อนหน้านี้ว่า จะฉีดวัคซีนประชาชนได้ครบโดส คือ 2 เข็มเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ 70% ภายในสิ้นปี 2564 แล้วลดลงมาเหลือฉีดเข็มแรก 50 ล้านคนเพื่อเปิดประเทศใน 120 วัน
ประการที่สอง คือ ความสำคัญของชีวิตหลังโควิดอยู่ที่การฉีดวัคซีน เพราะวัคซีนสามารถป้องกันความรุนแรงของเชื้อโรคโควิดให้ลดน้อยลง หมายถึง ลดการสูญเสียชีวิตให้เหลือเพียงรักษาโรคโควิดเอาไว้ได้
ประการที่สาม คำประกาศเกิดขึ้นในช่วงกลางมิถุนายน ซึ่งเป็นเดือนในสัญญาเริ่มส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซเนกา 6 ล้านโดส อีกทั้งในเดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน ส่งมอบเดือนละ 10 ล้านโดส และธันวาคมส่งปิดดีสอีก 5 ล้านโดส ครบ 61 ล้านโดลตามยอดสั่งจองซื้อไว้ สิ่งนี้ราวกับบ่งบอกถึงความมั่นใจของนายกรัฐมนตรีว่า มีวัคซีนพร้อมฉีดประชาชน จนออกมาประกาศเป้าหมายเปิดประเทศท่ามกลางความแตกตื่นของ “คลัสเตอร์”แพร่เชื้อลุกลามไปทั่ว กทม.
แล้วความจริงได้ปรากฎขึ้น เมื่อตลอดช่วงจาก 16 มิถุนายนถึงล่าสุด 4 กันยายน รวมเวลาประมาณ 75 วัน วัคซีนหลักคือแอสตร้าฯไม่ได้ส่งมาตามสัญญา แต่ได้รับจำนวนกระท่อนกระแท่น ไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชน จนทำให้วัคซีนแก้ขัดยี่ห้อ“ซิโนแวค”ถูกสั่งซื้อครั้งแล้วครั้งเล่า พลิกกลับมาเป็นตัวหลักในการกู้หน้ารัฐบาลแทน แล้วเป้าหมาย 120 วันเปิดประเทศยังเลือนราง ส่อแน้วโน้มแทบเป็นไปไม่ได้
หลังคำประกาศ! 75 วันฉีดเข็มแรกแล้วเท่าใด
หากนับนิ้วจากวันที่นายกรัฐมนตรีประกาศ พบว่าเวลา 120 วันจะครบกำหนดวันที่ 13 ตุลาคม 2564 เมื่อย้อนทวนเรียงไล่มาถึงวันที่ 4 กันยายน 2564 เวลาล่วงเลยมาแล้ว 75 วัน
ในวันนั้น เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันแรกของประกาศ 120 วันเปิดประเทศ พบว่าไทยฉีดวัคซีนเข็มแรกสะสม 5,114,755 คน กระทั่งถึงวันที่ 4 กันยายน ผ่านมาแล้วประมาณ 75 วัน การฉีดวัคซีนเข็มแรกล่าสุดตามข้อมูลของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รายงานว่า ไทยฉีดวัคซีนเข็มแรกพุ่งไปที่ 24,918,054 คน หรือประมาณ 49.8% ของประชากรเป้าหมาย 50 ล้านคน หรือคิดเป็น 37.6% ของประชากรทั้งประเทศจำนวนประมาณ 66 ล้านคนเศษ
อีกอย่างในจำนวนฉีดวัคซีนเข็มแรกนั้น ข้อมูลล่าสุดเมื่อ 4 กันยายน อว.แยกการฉีดตามยี่ห้อ โดยระบุว่า ฉีดชิโนแวคมากสุดคือ 11,660,740 คน รองลงมาเป็นแอสตร้าฯ 9,939,261 คน รวมทั้งวัคซีนทางเลือกชิโนฟาร์ม 2,948,688 คน และวัคซีนบริจาคจากสหรัฐคือไฟเซอร์อีก 369,365 คน
หากพิจารณาจากคำประกาศ 120 วันเปิดประเทศแล้ว ย่อมเห็นตัวเลขตั้งแต่ 17 มิถุนายนถึง 4 กันยายน รวมเป็นเวลา 75 วันไทยสามารถฉีดเข็มแรกได้เพิ่ม 19,803,299 เฉลี่ยวันละ 264,044 คน ดังนั้น คงเหลือต้องฉีดวัคซีนเข็มแรกอีก 25,081,946 คน ในเวลา 38 วัน เพื่อถึงวันที่ 13 ตุลาคม ซึ่งครบ 120 วันเปิดประเทศ ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศเป้าหมายไว้ จะได้ครบตามเงื่อนไขฉีดวัคซีนได้ 50 ล้านคน
อีก 38 วันชี้ชะตาคำสัญญาเปิดประเทศ
ตัวเลขการประเมินแบบกลมๆ นับแต่การฉีดวัคซีนเข็มแรกจาก 5 กันยายนไปถึง 13 ตุลาคม รวมเวลาประมาณ 38 วันต้องฉีดส่วนที่เหลืออีก 25,081,946 คนเพื่อได้เปิดประเทศ เฉลี่ยต้องฉีดเพิ่มวันละ 660,051 คน จึงได้ครบ 50 ล้านคนตามเป้าหมาย ซึ่งคงยากเอาการ แต่รัฐบาลกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กลับพยายามเร่งให้เป็นไปได้
ความเป็นไปได้นั้น เชื่อมั่นว่า จะมีวัคซีนจำนวนมากถึงขั้นเพียงพอระดมฉีดประชาชนอย่างเร่งรีบให้ครอบคลุมประชากร 70% หรือจำนวน 50 ล้านคน เพื่อรักษาคำประกาศสัญญาของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังยึดมั่น 120 วันเปิดประเทศไม่เปลี่ยนแปลง
ข้อมูลจาก นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค สธ. บอกอย่างมั่นใจว่า ตั้งแต่เดือนกันยายนถึงธันวาคมสิ้นปี 2564 จะมีวัคซีนทยอยเข้าไทยต่อเนื่องรวมประมาณ 80 ล้านโดส แบ่งเป็น ซิโนแวค 12 ล้านโดสระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม เดือนละ 6 ล้านโดส แอสตร้าฯ ส่งมอบมากขึ้น คือ เดือนกันยายน 7.3-8 ล้านโดส มาอีกช่วงเดือนตุลาคม 10 ล้านโดสและพฤศจิกายนกับธันวาคมเดือนละ 13 ล้านโดส และถึงคิวไฟเซอร์ ที่สั่งซื้อจะเริ่มเข้ามาเดือนตุลาคม-ธันวาคม เดือนละ 8-10 ล้านโดส
หากเน้นเฉพาะรักษาคำประกาศการเปิดประเทศแล้ว วัคซีนที่จะเข้ามาใช้ในกันยายนและตุลาคมจะมีมากถึง 40 ล้านโดส นั่นหมายความว่า เมื่อบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพเป้าหมายฉีดวัคซีนเข็มแรก 50 ล้านคน คงไม่ทำให้คำสัญญาของนายกรัฐมนตรีต้องหลุดลอยหายไปในอากาศธาตุ ขณะเดียวกัน กลับมีความเป็นได้สูงอย่างยิ่งยวด เพราะวัคซีนหลักที่จะเร่งปักเป็นเข็มแรกช่วงกันยายน-ตุลาคมคงเป็นชิโนแวค 12 ล้านบวกกับแอสตร้าฯอีกประมาณ 18 ล้าน ดังนั้น โอกาสฉีดเข็มแรกครบ 50 ล้านคน ย่อมมองเห็นการเปิดประเทศได้
ประกอบกับ การเปลี่ยนสูตรฉีดวัคซีนมาเน้นที่ “ฉีดไขว้” เริ่มในเดือนตุลาคมนี้ โดยสูตรแรกเป็นสูตรหลักคือ ชิโนแวคเข็มแรกตามด้วยแอสตร้าฯเข็มสอง สูตรสองแอสต้ราฯเข็มแรกตามด้วยไฟเซอร์เข็มสอง ซึ่งทั้งสองสูตรนี้มีระยะห่างกันที่ 3-4 สัปดาห์จึงเท่ากับร่นเวลาฉีดเข็มสองได้เร็วขึ้นเพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมายประชาชนฉีดวัคซีนครบโดส 2 เข็ม 70% ในสิ้นปี 2564 ซึ่งเป็นอีกสัญญาที่ พล.องประยุทธ์ ประกาศไว้ให้เป็นความหวังในชีวิตหลังโควิด
แต่เอาถิด…ความเชื่อมั่นและเป็นไปได้นั้น อยู่บนพื้นฐานแอสตร้าฯและไฟเซอร์มาตามข้อตกลงการสั่งซื้ออย่างเข้มงวดโดยไม่บิดพลิ้วส่งมาแบบกระท่อนกระแท่นอีก อย่างไรก็ตาม บทเรียนจากสัญญาแอสตร้าฯได้สะท้อนความไม่แน่ใจมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ดังนั้น หวังว่า การเปิดข้อมูล นพ.โสภณ ไม่เป็นไปเพียงแก้เกี้ยวจากศึกซักฟอกของฝ่ายค้านที่ถล่ม พล.อ.ประยุทธ์ กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สธ. ในข้อหาล้มเหลวบริหารวัคซีนล่าช้าจนทำให้ประเทศเข้าสู่วิกฤตและประชาชนตายกันนับหมื่นคนแล้ว
ถึงที่สุดแล้ว นับจากนี้รออีกแค่ 38 วัน คำประกาศเปิดประเทศที่ขีดเส้นไว้ประมาณ 13 ตุลาคมนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่ ถ้ายังเพิกเฉยเหมือนเคยแล้ว ความไม่เชื่อมั่นผสมรวมความไม่พอใจในชีวิตหลังโควิดเดลตาจะยิ่งกระหน่ำโถมเข้าใส่ ซ้ำเติมสถียรภาพอำนาจถึงขั้นง่อนแง่นล่มจมได้
…อย่าทำเป็นล้อเล่นกับความอดทนในสัญญาไม่เคยเป็นสัญญา เพราะประชาชนรอจนถึงที่สุดแล้ว
ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:
https://www.facebook.com/sammachiv